ศาสนาคริสต์มีพระเจ้าองค์เดียวกับพระเจ้าของศาสนายิว คือ พระยะโฮวา พระผู้ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงเป็นจิตบริสุทธิ์ ไม่มีรูปร่าง มีอยู่นิรันดร จึงไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ทรงรอบรู้ทุกสิ่ง ทรงสามารถทุกอย่าง ไม่มีใครสร้างพระองค์ แต่พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลพิภพนี้ ชาวคริสต์เชื่อกันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปตามแผนการของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ ปรารถนาจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปกำเนิดที่สืบกันมาแต่บรรพบุรุษคู่แรก คือ อาดัมและอีวา พระองค์จึงส่งพระบุตรมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทางแห่งความรอด
พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาและพระเยซูซึ่งเป็นพระบุตร จึงเป็นหนึ่งเดียวกันคือความสัมพันธ์แห่งความรัก เมื่อพระเยซูได้จากสาวกไปแล้ว โดยไปอยู่กับพระบิดาในอาณาจักรแห่งพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงเมตตาต่อมนุษย์ พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาและพระเยซูผู้เป็นบุตร ได้ส่งพระจิตของพระองค์มายังโลกเพื่อมนุษย์จะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานมาให้แก่พวกเขา
เราอาจกล่าวได้ว่าสิ่งสูงสุดของชาวคริสต์ คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งเรียกว่า "ตรีเอกภาพ" (Trinity) คือ สามภาคของพระเจ้าที่เป็นหนึ่งเดียวกัน การที่จะเข้าถึงสิ่งสูงสุดนี้จะต้องมีความรักและศรัทธาในพระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว และรักเพื่อนมนุษย์ให้เหมือนกับรักตนเอง ผู้ใดที่สามารถปฏิบัติตามได้เช่นนี้แล้ว เขาจะได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์ ผู้ใดที่ได้อยู่ที่แห่งนี้จะมีชีวิตนิรันดรซึ่งจะเข้าถึงได้ต่อเมื่อตายแล้ว บุคคลที่สามารถสละความสุขทางโลก และสละสมบัติทางโลกได้เท่านั้น จึงสามารถเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าได้เพราะคนเราจะมีนาย 2 คนไม่ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าจะเลือกพระเจ้าก็ต้องสละสมบัติทางโลก และถ้าจะเลือกสมบัติทางโลกก็ต้องสละพระเจ้า ผู้ฝ่าฝืนพระบัญญัติจะถูกตัดสินให้ลงนรก ถูกไฟเผาผลาญได้รับความทุกข์ทรมานตลอดไป
ศาสนาคริสต์ได้กล่าวถึง "วันพิพากษาโลก" (The Last of Judgement) เพื่อให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า และเกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาคริสต์ที่พระบุตรจะเสด็จกลับมาโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพิพากษามนุษย์ในมาระโกบทที่ 13 ข้อ 24-27 ของหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ (พระคริสตธรรมคัมภีร์. 1993 : 108) ได้กล่าวถึง วันสิ้นพิภพและการเสด็จมาพิพากษาโลกของพระเยซูคริสต์เจ้า ความว่า
"............ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพ และพระสิริเป็นอันมาก เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดของฟ้า................"
เราอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์การที่พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมาพิพากษาโลกอีกครั้งหนึ่งในวันสิ้นโลก ผู้ชอบธรรมเท่านั้น ที่จะถูกตัดสินให้ขึ้นสวรรค์ตลอดชั่วนิรันดร ส่วนคนอธรรมจะถูกปรับโทษให้ลงนรกนิรันดร
ขอขอบคุณที่มา
ขอขอบคุณที่มา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น